ในปี 1996 ทั่วโลกได้รู้ว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ุเดียวที่อาศัยอยู่ในจักรวาล หากแต่ยังมีมนุษย์ต่างดาวหรือที่เรียกว่า "เอเลี่ยน" อยู่ด้วย นอกจากนี้การมาเยือนของเอเลี่ยนยังมาพร้อมกับสงครามวันดับโลก สงครามครั้งนั้นยังส่งผลให้ "ไวรัสคอมพิวเตอร์" กลายเป็นพระเอกที่ช่วยกอบกู้โลกอีกด้วย

ภาพยนตร์เรื่อง Independence Day หรือ ID4 ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งที่ในปี 1996 ผู้คนยังติดภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวจากภาพยนตร์เรื่อง E.T. แน่นอนว่าในปี 1996 เรื่องราวที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวยังคลุมเครือมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ID4 เป็นภาพยนตร์ที่ตอกย้ำถึงทฤษฎีในเรื่องการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว ที่สำคัญเป็นการมองมนุษย์ต่างดาวในแง่ของการเข้ามารุกรานโลกมนุษย์

สำหรับ Independence Day : Resurgence หรือที่เราเรียกว่า ID4 ภาค 2 ต้องยอมรับว่า ผิดหวังจากที่คาดไว้ โดยก่อนเข้าไปชมคาดหวังไว้ว่า เอเลี่ยนน่าจะกลับมาเพื่อวางแผนโจมตีโลกอีกครั้ง เพื่อยึดทรัพยากรของโลกตามที่ภาคแรกได้เปิดเผยถึงเป้าหมายการมาไว้ รวมไปถึงฉากการต่อสู่แบบอลังการ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เอเลี่ยนมีวิวัฒนาการที่ล้ำกว่ามนุษยชาติ และกรที่มนุษยชาติสามารถต่อกรหรือเอาชนะเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ ซึ่งไม่มีในภาคนี้เลย

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในภาคแรกออกฉายในปี 1996 สงครามเย็นเพิ่งจะยุติหมาดๆ ขณะที่สงครามอ่าวเปอร์เซียร้อนระอุขึ้น การที่ภาพยนตร์แสดงถึงการร่วมมือกันของทุกชาติแม้ว่าจะมีความขัดแย้ง แต่ก็พักเรื่องความขัดแย้งไว้เพื่อเข้าร่วมสงครามเอเลี่ยนด้วยกัน
นอกจากนี้ในภาคแรกเป็นการมารุกรานแบบ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตุผล ประมาณว่านึกอยากจะมาก็มา (แต่แอบส่งลูกน้องมาสำรวจก่อนหน้านี้)

นั่นจึงทำให้ภาคแรกมีความสนุกมีความลุ้นระทึก และบอกตรงๆ ความรู้สึกที่ได้ดู ID4 ตอนปี 1996 มันคือความรู้สึกสิ้นหวัง เพราะไม่ว่าเราจะใช้อาวุธที่ทรงพลังขนาดไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะยานเอเลี่ยนมันมีเกราะป้องกัน ไม่ว่าจะยิงด้วยระเบิด มิวไซล์หรือแม้แต่นิวเคลียร์ก็ไม่สามารถเจาะทะลุเกราะได้เลย และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ ID4 มันส์สุดๆ เพราะในช่วงเวลาที่สิ้นหวังไม่สามารถทำอะไรกับยานเอเลี่ยนได้เลย กลับปรากฎว่า เดวิด เลวินสัน (เจฟฟ์ โกลด์บลุม) ดันคิดวิธีที่ทำให้เกราะสลายลงด้วยการปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์ลงในเครือข่ายของเอเลี่ยน

ซึ่ง ID4 กดดันคนดูอย่างต่อเนื่องในแง่ของการถูกรุนราน ยิ่งเมื่อถึงตอนพีคของภาพนยนตร์ที่สามารถหาวิธีกำจัดเจ้าเอเลี่ยนจอมรุกรานด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์ มันเป็นเสมือนการปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดแน่นมานาน แถมยิ่งที่มีตอนที่ประธานาธิบดี โทมัส วิธมอร์ (บิลล์ พูลแมน) ออกมากล่าวปลุกขวัญกำลังใจของทหารในการโจมตีระลอกสุดท้าย ยิ่งให้อารมณ์ความฮึกเหิมเสมือนหนึ่งว่าผู้ชมจะออกไปร่วมรบกับประธานาธิบดี
โทมัส วิธมอร์ ด้วยเช่นกัน
ภาพยนตร์พยายามจะให้กลิ่นไอของ ID4 ด้วยการใช้ฉากที่ใกล้เคียงในภากแรก อย่างฉากที่ต้องบินหนีออกจากยานต่างดาวผ่านช่องประตูที่กำลังจะปิด หรือฉากการนั่งยานออกสู่อวกาศแบบ 2 ที่นั่ง เป็นต้น
หรือแม้แต่การตัวละครหลักที่สำคัญในภาคอรกกลับมารับบทในภาค 2 นี้อีกด้วยอย่าง
ประธานาธิบดี โทมัส วิธมอร์ (บิลล์ พูลแมน)
เดวิด เลวินสัน (เจฟฟ์ โกลด์บลุม)
จัสมิน ดูโบรว์ (วีวีก้า เอ ฟ็อกซ์)
จูเลียส เลวินสัน (จัดด์ เฮิร์สช)
ดร.บราคีช โอกุน (เบรนท์ สไปเนอร์)

แต่ความรู้สึกกลับไม่ใช่ นั่นเพราะในภาคแรกเป็นการต่อสู้ของมนุษยชาติที่โลว์เทค อย่างปืนพก มิสไซล์ เครื่องบินรบ เป็นต้น กับการต่อสู่ของเอเลี่ยนที่ล้ำยุคไฮเทคสุดๆ อย่างเกราะบาร์เรีย ยานรบทรงประหลาดและเลเซอร์สีเขียว ยังไม่รวมถึงอาวุธหลักของยานอวกาศที่มีการปล่อยลำแสงออกมาล็อคเป้าก่อนปล่อยพลังทำลายล้างออกมา
ขณะที่ภาค 2 กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้อุปกรณ์ของมนุษย์ เช่น ยานอวกาศที่ไม่ต้องใช้ไอพ่น อาวุธที่ถอดแบบมาจากอาวุธของเอเลี่ยน รวมไปถึงอากาศยานอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีต่างดาว อย่างเฮลิคอปเตอร์ที่ไม่ใช้ใบพัด กล่าวง่ายๆ คือในภาพยนตร์กล่าวถึงโลกที่ไม่ใช่ปัจจุบันที่เราอยู่ในเวลานี้ เพราะมีการตั้งอาณาณิคมบนดวงจันทร์และดาวเสาร์อีกต่างหาก

ที่สำคัญใน ID4 แรก คนดูจะรู้สึกถึงกองทัพเอเลี่ยนจนเชื่อได้ว่า กองทัพที่เข้ามาบุกโจมตีโลกเป็นกองทัพจริงๆ เป็นกองทัพที่มีสายบังคับบัญชาการ พูดง่ายๆ คือต้องมีนายพลหรือแม่ทัพสั่งการอยู่บนยานแม่ ซึ่งเข้าใจได้ว่าตัวเอเลี่ยนในภาคแรกที่อยู่ในห้องคอนโทรล คือผู้บัญชาการวางแผนรบ เพราะในภาพยนตร์มรการอ้างถึงการวางแผนรบทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งฐานที่มั่นกองกำลังนาโต้ การนำยาน
City Destroyer ประจำตามเมืองสำคัญใหญ่ๆ ของโลก และมีการนับถอยหลัง เมื่อถึงเวลาก็ทำการ "รุกฆาต"

สำหรับภาค 2 นี้ ต้องบอกว่าผู้กำกับลดเกรดเอเลี่ยนลงมาจากสภาพนักรบกลายเป็นแมลงหรือตั๊กแตนเลยทีเดียว ก็ดันมีนางพญาโผล่มาซะงั้น เลยบอกตามตรงว่าเหมือนได้ดู
Starship Trooper ผสมผสานกับ
Star War อย่างบอกไม่ถูก ไม่หลงเหลือการต่อสู้แบบสิ้นหวังอย่างใน ID4 ภาคแรก
ถ้าจะมีความรู้สึกตื่นเต้นก็คงจะเป็นเรื่องของยานอวกาสที่อลังการ (โคตรๆ) เพราะแค่ยานลำเดียวก็มีขนาดครอบคลุม 2 ทวีป ทั้งทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมไปถึงนางพญาที่อลังการตัวขนาดตัวและความบ้าระห่ำที่บอกตามความรู้สึกว่า จากกองทัพเอเลี่ยนอันเกรียงไกร ผู้ที่เคยเกือบจะยึดโลกได้สำเร็จด้วยแผนการอันแยบยล กลายเป็นแมลงตั๊กแตนปาทังก้าไปซะงั้น
สรุปแล้ว ถ้าอยากดูหนังแนวสงครามอวกาศ ขอบอกว่าเรื่องนี้สนุกใช้ได้มีลุ้นมีตระการตา แต่สำหรับคนที่ยังติดตาตรึงใจกับ ID4 ภาคแรกแล้วอยากจะรู้ว่า 20 ปีผ่านไปเป็นอย่างไรก็สามารถติดตามได้ แต่อย่างที่บอกอย่าคาดหวังกับอารมณ์สงครามที่เราไม่มีทางสู้แบบสิ้นหวัง
คะแนนของหนังเรื่องนี้
4 / 10
(นี่คือความเห็นส่วนตัวและความรู้สึกล้วนๆ เท่านั้น ไม่มีมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น)
วิเคราะห์ได้ดีๆครับ แต่ "ภาพนยนตร์" เรื่องนี้ 4/10 น้อยไปหรือเปล่าครับ ไม่ให้คะแนน CG เลยหรือ ท่านวัตโตะ 555+
ตอบลบ